เพราะการกินดีต้องเริ่มต้นตั้งแต่
แรกเริ่ม
อาหารสำหรับทารกและเด็กจึงเป็นสิ่งสำคัญ
สุขภาพและไอคิวเด็กไทยจะดีขึ้น
ตอนที่
4
ทำไมร่าง
พ.ร.บ.นี้ ต้องควบคุมผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กอายุ 1-3 ขวบขึ้นไป ควบคุมเฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับทารกแรกเกิดถึง 12
เดือนเท่านั้นไม่เพียงพอหรือ?
ร่างพ.ร.บ.
นี้ ต้องการคุมการส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์ถึง 3 ปี ไม่ใช่เพียงเพราะเหตุผลว่า
นมแม่มีประโยชน์ต่างๆ ต่อเด็กมากกว่าแค่ในช่วง 6 เดือนแรกหรือปีแรก
และเด็กควรได้รับนมแม่อย่างต่อเนื่องควบคู่กับอาหารตามวัยจนอายุ 2
ปีหรือนานกว่านั้นเท่านั้น แต่ยังมีเหตุผลสำคัญด้านตลาดด้วย คือการป้องกันการส่งเสริมการขายแบบข้ามชนิด
(Cross promotion) ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่บริษัทใช้ในการหลบเลี่ยงกฎเกณฑ์ที่มีอยู่เดิม
ที่ผ่านมา
แม้ว่า อย. จะได้ห้ามการโฆษณานมผงสำหรับทารก แต่ยังไม่มีการห้ามโฆษณานมสำหรับเด็ก
1 ปีขึ้นไป หรือที่เราเห็นในท้องตลาดว่าคือ “นมสูตร 3” ซึ่งกลายเป็นช่องโหว่สำคัญ
ให้บริษัทต่างๆ ทุ่มเงินจำนวนมากเพื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์นี้ โดยทำให้รูปลักษณ์บรรจุภัณฑ์ของทุกๆ
สูตรให้คล้ายกัน และใช้ชื่อยี่ห้อที่คล้ายกันมาก มีการใช้สโลแกน สัญลักษณ์
และแมสคอตเดียวกัน และใช้เลข 1-2-3 บนกล่องเพื่อแสดงให้ว่ามีความเกี่ยวข้องกัน
เพราะตั้งใจเพื่อให้การส่งเสริมการตลาดของนมสูตร 3
ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจว่าโฆษณานมสูตร 1 และ 2 ไปด้วย
งานวิจัยจากประเทศออสเตรเลียพบว่า
การโฆษณานมผสมสำหรับเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปในนิตยสาร
แม่จะคิดว่าเป็นโฆษณาสำหรับนมดัดแปลงสำหรับทารกหรือนมสูตร 1
เพราะสามารถจดจำชื่อและรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกันได้ งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า
ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการขายของผลิตภัณฑ์แบบใด
ก็ส่งผลต่อการรับรู้และความเข้าใจของแม่ทั้งสิ้น
ดังนั้น
หากจะห้ามการส่งเสริมการตลาดของนมสำหรับทารก 0-1 ปีเพียงอย่างเดียว
และปล่อยให้มีการโฆษณานมสำหรับเด็ก 1-3 ปีต่อไป
กฎหมายก็จะไม่ทำให้เกิดความแตกต่างจากสถานการณ์ในปัจจุบันนี้นัก ทำให้วัตถุประสงค์ของร่างพรบ.นี้
ที่ต้องการควบคุมวิธีการส่งเสริมการตลาดของผลิตภัณฑ์นมผง ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ร่างกฎหมายนี้จะซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย
จริงหรือไม่?
ข้อเท็จจริงร่างกฎหมายนี้เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน
หากกฎหมายส่งผลให้แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่มากขึ้น
ครอบครัวจะประหยัดค่าใช้จ่าย เงินที่ถูกใช้ซื้อนมผงกว่าหมื่นล้านบาท
จะกลายเป็นเงินที่ครอบครัวสามารถนำไปใช้จ่ายอย่างอื่นได้
มีการใช้หลักฐานจากงานวิจัยระดับโลกเรื่องประโยชน์ทางเศรษฐกิจของนมแม่
มาวิเคราะห์คำนวณว่า หากเด็กทุกคนในประเทศไทยได้รับนมแม่
ประเทศไทยจะประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเด็กที่ป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วงและปอดบวมถึง
7.6
ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือกว่า 260 ล้านบาทด้วย
ประเทศไทยจะสามารถป้องกันการเสียโอกาสของการพัฒนาสมอง
ซึ่งคิดเป็นมูลค่าถึง 192.6 ล้านเหรียญสหรัฐหรือกว่า 6.8 พันล้านบาทต่อปี เนื่องจากงานวิจัยต่างๆ ชี้ว่า
นมแม่สามารถเพิ่มไอคิวได้ถึงเกือบ 3 จุด
ดร.บวรสรรค์ เจี่ยดำรง อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณชี้ว่าเมื่อไม่มีการส่งเสริมการตลาดนมผงก็ควรจะต้องถูกลงถึง 20-25%อีกด้วย