มีสุขชวนคุย : Your companion

FolkRice แอพพลิเคชั่นคู่ใจเกษตรกรยุค 4.0




           ในช่วงที่ผ่านมากระแสการขายข้าวแบบส่งตรงจากชาวนาผู้ผลิตบนโลกออนไลน์ดูจะเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายค่ะ น่าชื่นใจจริงๆนะคะที่เห็นคนไทยช่วยเหลือกันแบบนี้ แล้วก็นับเป็นสัญญาณดีที่มีการเริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อเราจะได้ไม่ต้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป


และ “อนุกูล ทรายเพชร” หนุ่มวัย 28 ลูกชาวนาจากจังหวัดสุรินทร์คนนี้ ก็เป็นคนแรกๆที่เล็งเห็นว่าเทคโนโลยีนี่ล่ะ ที่จะเป็นฮีโร่เข้ามาช่วยให้ชาวนาสามารถพึ่งพาตนเองได้!! ย้อนไปเมื่อต้นปี 2558 คุณอนุกูลก็ได้นำความคิดนี้มาทำให้เป็นรูปเป็นร่างสร้างเป็นธุรกิจเพื่อสังคม และพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่มีชื่อว่า “Folkrice” เพื่อช่วยชาวนาขายข้าวให้กับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ใส่ใจความปลอดภัยและสุขภาพ จะเจ๋งซักแค่ไหน เราไปคุยกับคุณอนุกูลถึงแอพพลิเคชั่นนี้กันค่ะ :)


“กว่าจะมาเป็น Folkrice”


          คุณอนุกูลเริ่มต้นธุรกิจเพื่อสังคมด้วยการเป็นอาสาสมัครทำการตลาดข้าวไรซ์เบอรี่ จนกระทั่งข้าวชนิดนี้ได้รับความนิยมขึ้นมา  จากนั้นจึงได้นำข้าวหอมมะลิของครอบครัวมาทำการตลาด กระทั่งนำมาสู่การพัฒนา “Folkrice” แอพพลิเคชั่นที่จะมาเป็นตัวกลางในการขายข้าวพันธุ์พื้นเมืองซึ่งมีอยู่หลากหลาย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 ที่ผ่านมา

            “การได้พูดคุยกับชาวนาทำให้รู้ว่าเสน่ห์ของข้าวพื้นเมืองก็คืออัตลักษณ์ของชาวนาแต่ละคน ความแตกต่างของเมล็ดข้าว ซึ่งมีที่มาและเรื่องราวที่ต่างกัน เชื่อหรือเปล่าว่าข้าว 50 สายพันธุ์เราสามารถขายในราคาเดียวกันได้ เพราะข้าวจะดีไม่ดี อร่อยหรือไม่อร่อย ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคอยู่แล้ว ที่สำคัญคือผมเชื่อว่าเกษตรกรไม่สามารถอยู่รอดได้จากการปลูกข้าวชนิดเดียวครับ ความหลากหลายนี่ล่ะที่จะทำให้ชาวนาอยู่รอดได้”

“การตลาดแบบ Folkrice



      ก่อนจะถามว่าข้าวอะไรอร่อย ผู้บริโภคต้องถามตัวเองก่อนว่า ข้าวแบบไหนที่เหมาะกับตัวเอง

เพราะข้าวแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน Folkrice จึงได้นำเสนอเรื่องราวของการปลูกข้าวอินทรีย์แต่ละชนิด เพื่อให้ทั้งชาวนาในฐานะผู้ผลิต และผู้บริโภคอย่างเราได้ทำความรู้จักตัวเองเสียก่อน เพราะความอร่อยของข้าวขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน การเรียนรู้เรื่องราวระหว่างกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ข้าวหอมมะลิแดง เหมาะกับผู้สูงอายุ เพราะมีวิตามินบี 1 แก้โรคเหน็บชา และยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ทำให้กระตือรือร้นมีเรี่ยวแรง ขณะที่ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ก็จะเหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น


“รู้จัก Folkrice”

แอพพลิเคชั่น Folkrice ออกแบบระบบด้วยการคัดเลือกเกษตรกรมาจดทะเบียน ภายใต้เงื่อนไขคือ 1. ต้องเป็นเกษตรกรที่ปลูกข้าวอินทรีย์ 2. สินค้าต้องปลอดภัย และ 3. เกษตรกรต้องอธิบายตัวเองได้ เพราะนั่นหมายถึงเกษตรกรมีเป้าหมายของตัวเองที่ชัดเจน

โดยขณะนี้สมาชิกของ Folkrice มีมากกว่า 1,000 ราย และมีผู้บริโภคที่สมัครเพื่อซื้อข้าวคุณภาพกว่า 1,000 รายเช่นกัน ซึ่งตอนนี้ตลาดค้าข้าวของ Folkrice ก็ได้เริ่มก้าวไกลไปสู่ตลาดอิตาลีแล้ว


“อนาคตชาวนา สิ่งสำคัญคือต้องปรับตัว”

          “ผมคิดว่าชาวนาค้าขายเป็น เจรจาการค้ากับโรงสีได้ แต่ชาวนาทำการตลาดไม่เป็น

            นั่นคือสิ่งที่คุณอนุกูลได้จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสและพูดคุยกับเกษตรกรโดยตรง เขาเห็นว่าในอนาคตชาวนาต้องปรับตัวเป็นนักการตลาด เพื่อทำ branding ให้กับข้าว หรือสินค้าอื่นๆ โดยสิ่งสำคัญคือต้องมีเป้าหมาย มีอัตลักษณ์ที่ชัดเจน และสามารถอธิบายเรื่องราวของตนเองได้ และเมื่อทุกอย่างนี้รวมกันเขาเชื่อว่าพลังของเกษตรกรนั้นจะมีมากขึ้น สามารถยืนหยัดด้วยตนเองได้อย่างยั่งยืน

ไม่ใช่แค่เด็กรุ่นใหม่ที่ต้องปรับตัวให้ทันเทคโนโลยี เพราะเกษตรกรที่เข้ามาเป็นสมาชิกของเราก็เริ่มปรับตัวได้มากขึ้น ดังนั้นผมคิดว่าเรื่องวัยไม่สำคัญเท่ากับการเรียนรู้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากสำหรับเกษตรกรในยุค 4.0 ครับ



            ได้ฟังเรื่องราวดีดีจากคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่คิดการณ์ไกลเพื่อเกษตรกรแล้วรู้สึก “มีสุข” จริงๆค่ะ และในเร็วๆนี้คุณอนุกูลก็กำลังจะมีโปรเจ็คใหม่กับทางแผนอาหาร ภายใต้โครงการที่มีชื่อว่า “Food from Thailand” อีกด้วย อยากรู้แล้วใช่มั้ยล่ะว่าโครงการนี้คืออะไร หรือจะมีอะไรเจ๋งๆให้เราได้ตื่นเต้นกันอีก อดใจรอนิดเดียวค่ะ มีสุขจะคอยติดตามความเคลื่อนไหวมารายงานให้เพื่อนๆได้ทราบกันแน่นอน!

            และสำหรับใครที่สนใจอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Folkrice ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตหรือผู้บริโภค ตามไปดูรายละเอียดกันได้เลยนะคะ ที่เฟสบุคแฟนเพจ https://www.facebook.com/folkrice  หรือเว็บไซต์ https://folkrice.com  ค่ะ