“FolkRice แอพพลิเคชั่นคู่ใจเกษตรกรยุค 4.0”
ในช่วงที่ผ่านมากระแสการขายข้าวแบบส่งตรงจากชาวนาผู้ผลิตบนโลกออนไลน์ดูจะเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายค่ะ
น่าชื่นใจจริงๆนะคะที่เห็นคนไทยช่วยเหลือกันแบบนี้ แล้วก็นับเป็นสัญญาณดีที่มีการเริ่มนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เป็นประโยชน์
เพื่อเราจะได้ไม่ต้องถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป
“กว่าจะมาเป็น
Folkrice”
คุณอนุกูลเริ่มต้นธุรกิจเพื่อสังคมด้วยการเป็นอาสาสมัครทำการตลาดข้าวไรซ์เบอรี่
จนกระทั่งข้าวชนิดนี้ได้รับความนิยมขึ้นมา
จากนั้นจึงได้นำข้าวหอมมะลิของครอบครัวมาทำการตลาด กระทั่งนำมาสู่การพัฒนา “Folkrice” แอพพลิเคชั่นที่จะมาเป็นตัวกลางในการขายข้าวพันธุ์พื้นเมืองซึ่งมีอยู่หลากหลาย
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 ที่ผ่านมา
“การได้พูดคุยกับชาวนาทำให้รู้ว่าเสน่ห์ของข้าวพื้นเมืองก็คืออัตลักษณ์ของชาวนาแต่ละคน ความแตกต่างของเมล็ดข้าว ซึ่งมีที่มาและเรื่องราวที่ต่างกัน เชื่อหรือเปล่าว่าข้าว 50 สายพันธุ์เราสามารถขายในราคาเดียวกันได้ เพราะข้าวจะดีไม่ดี อร่อยหรือไม่อร่อย ขึ้นอยู่กับผู้บริโภคอยู่แล้ว ที่สำคัญคือผมเชื่อว่าเกษตรกรไม่สามารถอยู่รอดได้จากการปลูกข้าวชนิดเดียวครับ ความหลากหลายนี่ล่ะที่จะทำให้ชาวนาอยู่รอดได้”
“การตลาดแบบ
Folkrice”
“ก่อนจะถามว่าข้าวอะไรอร่อย ผู้บริโภคต้องถามตัวเองก่อนว่า ข้าวแบบไหนที่เหมาะกับตัวเอง”
เพราะข้าวแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน
Folkrice จึงได้นำเสนอเรื่องราวของการปลูกข้าวอินทรีย์แต่ละชนิด
เพื่อให้ทั้งชาวนาในฐานะผู้ผลิต และผู้บริโภคอย่างเราได้ทำความรู้จักตัวเองเสียก่อน
เพราะความอร่อยของข้าวขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน
การเรียนรู้เรื่องราวระหว่างกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ข้าวหอมมะลิแดง
เหมาะกับผู้สูงอายุ เพราะมีวิตามินบี 1 แก้โรคเหน็บชา
และยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ทำให้กระตือรือร้นมีเรี่ยวแรง
ขณะที่ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ก็จะเหมาะกับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น
“รู้จัก
Folkrice”
แอพพลิเคชั่น
Folkrice ออกแบบระบบด้วยการคัดเลือกเกษตรกรมาจดทะเบียน
ภายใต้เงื่อนไขคือ 1. ต้องเป็นเกษตรกรที่ปลูกข้าวอินทรีย์ 2.
สินค้าต้องปลอดภัย และ 3. เกษตรกรต้องอธิบายตัวเองได้
เพราะนั่นหมายถึงเกษตรกรมีเป้าหมายของตัวเองที่ชัดเจน
โดยขณะนี้สมาชิกของ
Folkrice
มีมากกว่า 1,000 ราย
และมีผู้บริโภคที่สมัครเพื่อซื้อข้าวคุณภาพกว่า 1,000 รายเช่นกัน
ซึ่งตอนนี้ตลาดค้าข้าวของ Folkrice ก็ได้เริ่มก้าวไกลไปสู่ตลาดอิตาลีแล้ว
“อนาคตชาวนา สิ่งสำคัญคือต้องปรับตัว”
“ผมคิดว่าชาวนาค้าขายเป็น
เจรจาการค้ากับโรงสีได้ แต่ชาวนาทำการตลาดไม่เป็น”
นั่นคือสิ่งที่คุณอนุกูลได้จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสและพูดคุยกับเกษตรกรโดยตรง
เขาเห็นว่าในอนาคตชาวนาต้องปรับตัวเป็นนักการตลาด เพื่อทำ branding ให้กับข้าว หรือสินค้าอื่นๆ โดยสิ่งสำคัญคือต้องมีเป้าหมาย
มีอัตลักษณ์ที่ชัดเจน และสามารถอธิบายเรื่องราวของตนเองได้
และเมื่อทุกอย่างนี้รวมกันเขาเชื่อว่าพลังของเกษตรกรนั้นจะมีมากขึ้น
สามารถยืนหยัดด้วยตนเองได้อย่างยั่งยืน
“ไม่ใช่แค่เด็กรุ่นใหม่ที่ต้องปรับตัวให้ทันเทคโนโลยี
เพราะเกษตรกรที่เข้ามาเป็นสมาชิกของเราก็เริ่มปรับตัวได้มากขึ้น
ดังนั้นผมคิดว่าเรื่องวัยไม่สำคัญเท่ากับการเรียนรู้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากสำหรับเกษตรกรในยุค 4.0 ครับ”
ได้ฟังเรื่องราวดีดีจากคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่คิดการณ์ไกลเพื่อเกษตรกรแล้วรู้สึก
“มีสุข” จริงๆค่ะ และในเร็วๆนี้คุณอนุกูลก็กำลังจะมีโปรเจ็คใหม่กับทางแผนอาหาร
ภายใต้โครงการที่มีชื่อว่า “Food from Thailand” อีกด้วย
อยากรู้แล้วใช่มั้ยล่ะว่าโครงการนี้คืออะไร
หรือจะมีอะไรเจ๋งๆให้เราได้ตื่นเต้นกันอีก อดใจรอนิดเดียวค่ะ
มีสุขจะคอยติดตามความเคลื่อนไหวมารายงานให้เพื่อนๆได้ทราบกันแน่นอน!
และสำหรับใครที่สนใจอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Folkrice ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตหรือผู้บริโภค ตามไปดูรายละเอียดกันได้เลยนะคะ ที่เฟสบุคแฟนเพจ https://www.facebook.com/folkrice หรือเว็บไซต์ https://folkrice.com ค่ะ